ขอออกตัวก่อนว่าตั้งแต่มีลูกเราก็ติดตามอ่านแฟนเพจของ นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ มาโดยตลอด ใครที่ติดตามคงจะทราบกันดีถึงหลักการเลี้ยงลูกฉบับย่อว่า “อ่าน-เล่น-ทำงาน-สร้าง EF” โดยส่วนตัวเองไม่ได้อ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ในท้องหรอกนะ เราเริ่มอ่านหนังสือให้ลูกคนโตฟังครั้งแรกตอนลูกอายุได้ 6 เดือน หนังสือเล่มแรกที่เลือกมาอ่านให้ลูกนี่จำได้ว่าจริงๆ ตั้งใจไปซื้อหนังสือที่จะอ่านเองที่งานสัปดาห์หนังสือ บังเอิญว่าเดินผ่านจุดขายหนังสือราคา 20 บาททุกเล่ม แล้วเห็นหนังสือมีรูปการ์ตูนที่เป็นรถแบบต่างๆ คิดว่าน่าจะเหมาะกับลูกชายก็เลยเลือกซื้อมาสองสามเล่ม เป็นหนังสือปกอ่อน กระดาษบาง สีสันสดใส ดูแล้วคุ้มค่าเกินราคา
Raising a family of readers is a rewarding, never-ending voyage.
HOW TO RAISE A READER by Pamela Paul and Maria Russo
ช่วงแรกที่อ่านหนังสือให้ลูกวัย 6 เดือนฟัง ลูกก็เหมือนจะฟังและดูภาพตามที่ชี้ชวนอยู่บ้าง แต่ที่ลูกชอบมากคือการขยำหน้าหนังสือแล้วก็ดึงและฉีก สรุปคือหนังสือปกอ่อนที่ซื้อมาอ่านให้ลูกช่วง 6 เดือนถึง 1 ขวบนี่ต้องอ่านไปแปะเทปกาวซ่อมไป บางเล่มก็โดนฉีกจนตามหาชิ้นส่วนมาแปะซ่อมคืนไม่ได้แล้ว

แต่แน่นอนว่าระหว่างนั้นเราก็หาโอกาสไปซื้อหนังสือแบบที่เหมาะกับช่วงวัยเบบี๋แบเบาะจริงๆ นั่นคือ หนังสือแบบผ้า และหนังสือแบบกระดาษแข็งๆ ที่เรียกกันว่า Board book จริงๆ มีคนแนะนำหนังสือแบบพลาสติกที่รองรับการเปียกน้ำได้ แต่เรารู้สึกว่ามันเหมือนของเล่นมากกว่าเลยไม่ได้ซื้อมา
หนังสือแบบผ้าจะมีลูกเล่นหลากหลาย เช่น เป็นผ้าเนื้อสัมผัสต่างๆ ทั้งนุ่ม สาก เป็นขน เป็นใย หรือมีแถบผ้าให้เปิด คราวนี้ลูกเลยได้ขยำเล่น เปิดไปมาได้เต็มที่ แบบไม่ต้องมาตามซ่อม หนังสือแบบผ้า Hello, Spot นี้ซื้อจากงานหนังสือ Big Bad Wolf จำได้ว่าอ่านเล่มนี้ให้ลูกฟังตั้งแต่ยังพูดไม่ได้ จนวันที่พูดคล่องแล้วลูกก็ Hello อันนั้นอันนี้ไปทั่วเลียนแบบเจ้า Spot

ส่วนหนังสือผ้า Mix & Match ที่เรามีเป็นหน้าสัตว์ต่างๆ ให้เปิดไปเปิดมาเพื่อให้ได้เป็นหน้าตาที่สมบูรณ์ แล้วบอกว่า This is panda. This is pig. This is … ตัวอะไรก็ว่าไปตามนั้น แต่เอาเข้าจริงตอนที่ลูกยังเบบี๋เขาจะสนุกกับการ Mix หน้าสัตว์มากกว่า Match นะ แม้แม่จะพยายามเปิด Match ให้ลูกดูแบบถูกต้อง แต่ลูกก็จะเปิด Mix ให้หน้าปนเปกันไป จนสักราวๆ 2 ขวบมั้งถึงจะชอบเปิดแบบ Match ให้ตรงตามแบบ

หนังสือแบบถัดมาที่อยากจะแนะนำคือ Board book ด้วยความที่เป็นกระดาษอัดอย่างหนาและแข็งจึงทำให้ฉีกขาดยาก ขยำก็ไม่ได้ (แต่สุดท้ายลูกก็พยายามกัดอยู่นะ…ต้องคอยดึงออกอยู่บ้าง) เนื้อหาในหนังสือที่เราเลือกสำหรับช่วงวัยนี้จะเป็นแนวหนังสือคำศัพท์เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบตัว เลือกที่มีรูปชัดเจน มีข้อความเพียงสั้นๆ ให้เราอ่านและชี้ชวนให้ลูกสนใจว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เรียกว่าอะไร เราสังเกตว่าช่วงที่ลูกเริ่มส่งเสียงอ้อแอ้ๆ ได้ เขาก็จะส่งเสียงอือๆ ตามเรา ก็มะโนเองได้ว่าลูกคงกำลังออกเสียงตามที่เราอ่านนะคะ

Board book แบบมีลูกเล่นเพิ่มเติม อาทิ แบบเจาะรู แบบมีแถบเปิด-ปิด แบบเลื่อนแถบหรือดึง แบบ Pop-up เป็นต้น ลูกจะชอบแบบเจาะรูเป็นพิเศษ อย่าง Zoom (My Little World) ที่เจาะเป็นรูตรงล้อรถนี้ เวลาเปิดอ่านเด็กจะชอบเอานิ้วไปแหย่ตรงช่องที่เจาะไว้ บางทีก็ยกเอามาทาบหน้าให้ช่องพอดีกับลูกตา ความเพลิดเพลินเลยไม่ได้มีแค่การฟังแม่อ่าน แต่เป็นการได้สัมผัสและจับหนังสือเล่นด้วย

พอลูกโตขึ้นมาหน่อย เนื้อหาหนังสือที่เลือกก็จะเป็นแบบที่มีข้อความยาวมากขึ้น ไม่ได้เน้นแบบที่เป็นคำศัพท์เป็นคำๆ แล้ว แต่จะไปเน้นแบบที่เป็นประโยคสั้นๆ หรือเป็นข้อความอ่านที่ออกเสียงคล้องจองกัน ซึ่งเด็กที่เราเริ่มอ่านหนังสือให้ฟังตั้งแต่แบเบาะ พอโตขึ้นมาเขาจะสามารถนั่งนิ่งฟังเราอ่านยาวๆ ได้โดยที่ไม่ต้องบังคับอะไรเลย จากประสบการณ์เราว่าช่วงที่ยากที่สุดคือช่วงที่ลูกคลานเก่งๆ และช่วงที่เริมหัดเดิน เพราะเขาจะชอบคลานหนีเวลาเราจับมานั่งบนตักเพื่อจะอ่านหนังสือ แต่อย่างไรก็ตามเราก็จะหาเวลาหยิบหนังสือมาอ่านกับลูกอย่างสม่ำเสมอ โดยเมื่อถึงเวลาก็จะบอกลูกว่าถึงเวลาอ่านแล้วนะ… แล้วก็เลือกหนังสือมาสัก 1 ถึง 2 เล่ม จับลูกมานั่งตักแล้วเปิดอ่านไปพร้อมกัน
การเลือกหนังสือที่แนะนำไปนี้ถือเป็นแนวทางในเบื้องต้นเท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือความสม่ำเสมอในการอ่านหนังสือให้ลูก เราว่ามันเป็นช่วงเวลาคุณภาพจริงๆ นะที่ได้อ่านกับลูก และยิ่งในวัยที่ลูกสามารถพูดคุยโต้ตอบกับเราได้นะ มันเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงทางความคิดของลูกผ่านคำถามคำตอบหลังจากที่เราได้อ่านหนังสือด้วยกัน
ท้ายสุดนี้ขอฝาก Quote ดีๆ จากหนังสือ I can read with my eyes shut โดย Dr.Seuss ไว้
The more that you read, the more things you will know. The more that you learn, the more places you’ll go.
I Can Read With My Eyes Shut! by Dr.Seuss