Book review

Bookcony_Finn n Lib dog_Cover page

หนังสือเล่มนี้แปลมาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ Madeline Finn and the Library Dog โดยผู้แปลเลือกใช้คำว่า “เจ้าหมานักฟัง” ในภาษาไทยเพื่อหมายความถึง “library dog” นี่คือครั้งแรกที่เราได้ยินคำนี้เลยลองสืบค้นต่อก็ถึงรู้ว่าที่ห้องสมุดในต่างประเทศมีเจ้าหมาประจำห้องสมุดอยู่จริง และมี Reading dog program อยู่ตามห้องสมุดหลายแห่ง เราตามหาซื้อหนังสือเล่มนี้หลังจากที่ได้ยืมจากห้องสมุดดรุณบรรณาลัยมาอ่าน ตอนแรกลูกชายเลือกเรื่องนี้เพราะหน้าปก ด้วยความที่ชอบหมาอยู่แล้วพอเห็นภาพเด็กน้อยนอนพิงเจ้าตัวโตขนยาวสีขาวเลยไม่รอช้าที่จะขอยืมกลับไป แต่พออ่านจบสิ่งที่ทำให้ลูกชายเราอินมากคือเรื่องสติ๊กเกอร์รูปหัวใจกับสติ๊กเกอร์รูปดาว

ภาพหน้าปกหนูน้อยฟินน์กับเจ้าหมานักฟัง

เรื่องมีอยู่ว่าเด็กหญิงแมดเดอลิน ฟินน์ไม่ชอบอ่านหนังสือเอามากๆ ถ้าให้เดาเราว่าแมดเดอลินน่าจะอยู่สักชั้นประถมหนึ่งหรือไม่ก็ประถมสอง แน่นอนว่าเด็กวัยนี้ต้องเริ่มหัดอ่านหัดเขียนในห้องเรียนแล้ว ซึ่งเวลาคุณครูเรียกให้อ่านออกเสียงในชั้นเรียนแมดเดอลินก็ทำได้ไม่ค่อยดี เธอจึงไม่เคยได้สติ๊กเกอร์รูปดาวจากคุณครูเลย ได้มาแต่สติ๊กเกอร์รูปหัวใจที่หมายถึง “พยายามเข้านะ” อ่านถึงตรงนี้ลูกชายก็หันมาบอกว่าแมดเดอลินกับเขาเหมือนกันเลย เขาก็ไม่เคยได้ดาวจากคุณครู ได้มาแต่รูปนางฟ้าที่บอกว่าให้พยายามอีก นั่นสินะ…ที่ผ่านมาเราก็เห็นอยู่ว่าใบงานของลูกชายที่คุณครูแจกคืนมาจะมีตัวปั๊มประทับมา แต่ไม่เคยซักถามเกี่ยวกับรูปแบบตัวปั๊มที่ได้ ส่วนใหญ่จะถามให้ลูกเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่ทำในใบงานเสียมากกว่า

ขอเล่าย้อนถึงการเลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกก่อนว่าเหตุผลหลักๆ ที่เราตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้ลูกคือระยะทางที่ใกล้บ้านและใกล้ที่ทำงานเพื่อที่จะได้ไปรับไปส่งลูกได้สะดวก ซึ่งเมื่อพิจารณาเรื่องอื่นๆ ร่วมด้วยมันอาจไม่ถูกใจร้อยเปอร์เซ็นต์ อาทิเช่น การที่โรงเรียนให้เด็กอนุบาลสองฝึกเขียนพยัญชนะแล้ว เราเห็นได้ชัดว่าลูกชายไม่ชอบการเขียนเอาเสียเลย แต่ยังดีว่าคุณครูเข้าใจและไม่ได้บังคับหรือเคี่ยวเข็ญจริงจัง โดยใบงานที่เป็นการฝึกเขียนจะมีเพียงครึ่งหน้าหรือถ้าให้นับเป็นจำนวนตัวพยัญชนะก็อยู่ที่ 12 ตัวอักษร นอกนั้นก็เป็นการทำกิจกรรมผ่านการเล่นกับเพื่อนในชั้นเรียนและการฟังนิทาน เท่าที่พูดคุยกับลูกชายเขาบอกว่าชอบไปโรงเรียนนี้ ชอบคุณครู ชอบเล่นกับเพื่อน แต่ไม่ชอบใบงานที่ต้องเขียนหรือระบายสีเท่านั้นเอง เพราะอย่างนี้นี่เองพอได้ฟังเรื่องของแมดเดอลินเข้าลูกชายจึงรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน

กลับมาที่เรื่องของแมดเดอลินกันต่อ คุณแม่ของเธอรับรู้ปัญหาการออกอ่านเสียงของแมดเดอลินแล้วจึงพาเธอไปห้องสมุดที่มีกิจกรรมการอ่านหนังสือให้เจ้าหมาฟัง ที่นี่แมดเดอลินได้พบกับเจ้าบอนนี่แล้วนั่งอ่านหนังสือให้มันฟัง กำแพงแห่งความประหม่าและความกังวลว่าจะอ่านผิดของแมดเดอลินค่อยๆ ลดลง กลายเป็นความรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจที่มีผู้ฟังที่น่ารักอย่างบอนนี่ อ่านถึงตรงนี้ลูกๆ ถามใหญ่เลยว่าที่บ้านเรามีห้องสมุดที่ไหนมีแบบนี้บ้างจะให้แม่พาไปกัน

แมดเดอลินเจอเจ้าบอนนี่ที่ห้องสมุด

การฝึกอ่านหนังสือของแมดเดอลินดำเนินไปด้วยดี เราแอบเดาเนื้อเรื่องไปก่อนแล้วว่าในที่สุดแมดเดอลินก็จะอ่านให้เจ้าบอนนี่ฟังจนคล่องแล้วได้ดาวจากคุณครู แต่ปรากฎว่ามีจุดที่ให้ลุ้นตอนใกล้จะถึงคาบเรียนอ่านออกเสียงแล้ว แต่เจ้าบอนนี่กลับไม่อยู่ที่ห้องสมุดให้แมดเดอลินฝึกอ่านหนังสือให้ฟัง แมดเดอลินก็ไม่อยากอ่านหนังสือให้เจ้าหมาตัวอื่นฟัง อยากจะอ่านให้แต่เจ้าบอนนี่ฟังเท่านั้น และแมดเดอลินก็เริ่มกังวลใจกับการอ่านออกเสียงในคาบเรียนที่จะถึง จุดนี้เราก็แอบตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่าถ้าเราเป็นแม่ของแมดเดอลินเราจะพูดกับลูกอย่างไรดีนะ

คุณแม่ของแมดเดอลินบอกว่าลูกต้องทำได้แน่ๆ แค่คิดว่ากำลังอ่านให้บอนนี่ฟัง ภาพที่คุณแม่กอดแมดเดอลินอ่านหนังสือบนเตียงเป็นภาพที่เราชอบที่สุดในเล่มนี้ มันดูอบอุ่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่ส่งให้ลูก ในที่สุดแมดเดอลินก็ทำได้จริงๆ การอ่านออกเสียงในชั้นเรีบนเป็นไปอย่างราบรื่น และเธอก็ได้สติ๊กเกอร์รูปดาวจากคุณครู

“เดี๋ยวจะฝึกเขียนบ่อยๆ บ้างดีกว่า จะได้ปั๊มรูปดาวเหมือนแมดเดอลิน” ลูกชายบอกหลังจากที่อ่านกันจบ

“ดีเลย แม่เชื่อว่าลูกทำได้ พยายามเข้านะครับ”

ในตอนจบของเรื่องไม่ได้ถึงแค่ตอนแมดเดอลินได้สติ๊กเกอร์รูปดาวจากคุณครู แต่เป็นตอนที่แมดเดอลินนำสติ๊กเกอร์รูปดาวไปอวดเจ้าบอนนี่ที่ห้องสมุด แล้วเจ้าบอนนี่ก็เซอไพรส์แมดเดอลินด้วยลูกหมาตัวน้อยๆ ของมัน ลูกชายชอบอกชอบใจที่เห็นเจ้าหมาตัวน้อยเต็มหน้าหนังสือแล้วก็ว่า “อย่างนี้แมดเดอลินคงได้ดาวมาอีกเยอะแยะ เพราะอ่านให้ลูกบอนนี่ฟังอีกหลายตัวจนอ่านเก่งแน่นอน”


  • เกี่ยวกับที่รีวิว
    • หนูน้อยฟินน์กับเจ้าหมานักฟัง
    • สำนักพิมพ์: Stranger’s Book