Book review

Bookcony_Big bear n Little rat_Cover

ถ้าพูดถึงหนังสือนิทานที่แปลจากต้นฉบับภาษาต่างประเทศ เราชอบนิทานที่แปลจากภาษาญี่ปุ่นมากที่สุด ตั้งแต่เริ่มอ่านนิทานกับลูกเราก็คอยติดตามว่าเมื่อไหร่จะมีเรื่องใหม่ๆ ออกมา เคยไปซื้อนิทานภาษาญี่ปุ่นมือสองที่ร้านหนังสือแถวสุขุมวิทมา แล้วใช้ Google Translate แปลเป็นภาษาไทยอ่านเองก็รู้สึกว่าแปลไม่ค่อยรู้เรื่อง สุดท้ายเล่าปากเปล่าไปตามรูปให้ลูกฟัง ดังนั้นพอทาง SandClock Books มีนิทานแปลจากภาษาญี่ปุ่นใหม่ออกมาเราจึงดีใจมาก สำหรับเรื่องเพื่อนซี้ในป่าใหญ่ฉบับภาษาไทยนี้ น่าจะเป็นนิทานภาษาญี่ปุ่นเรื่องที่สองของ SandClock Books ที่เราตัดสินใจสั่งพรีออเดอร์ไปตั้งแต่เห็นภาพปก พอได้หนังสือมาก็เปิดอ่านกับลูกๆ ทันที

ภาพหน้าปกเพื่อนซี้ในป่าใหญ่

จากภาพปกเราจะเห็นว่ามีเจ้าหมีตัวใหญ่ เจ้าหนูตัวเล็ก (ขนาดพอๆ กับพวงองุ่นป่าเลย สังเกตเห็นไหมคะ) แล้วก็สัตว์ต่างๆ แค่หน้าปกก็ชวนลูกๆ คุยเรื่องสัตว์ตัวโน้นตัวนี้ ชวนดูต้นไม้ ต้นดอกหญ้า เครือเถาพวงองุ่นก็ใช้เวลาไปเกือบห้านาที นี่เป็นนิทานภาพเล่มหนึ่งที่ภาพสวยมาก มีการลงรายละเอียดชัดเจนสมจินตนาการ ตอนแรกเราคิดไว้คร่าวๆ ว่าน่าจะเรื่องราวของผองเพื่อนที่มีหมี มีหนู แล้วก็มีสัตว์ต่างๆ แค่ตามที่เห็นจากหน้าปกเท่านั้น แต่พอเปิดอ่านไปนี่เซอไพรส์มากที่มีหมาบูลด็อกโผล่มา แถมเจ้าหมาบูลด็อกยังเป็นเชฟขนมหวานอีก! ลูกชายเห็นนี่ยิ้มกว้างเหมือนได้เจอพรรคพวก เพราะลูกชายชอบเล่นสมมติเป็นหมาตามการ์ตูนเรื่อง Paw Patrol ซึ่งในการ์ตูนก็จะมีหมาสายพันธุ์ต่างๆ หนึ่งในั้นคือบูลด็อกชื่อเจ้ารับเบอร์ที่ลูกชายชอบมาก

กลับมาที่เชฟหมาบูลด็อกในเรื่องเพื่อนซี้ในป่าใหญ่ต่อ เห็นบรรดาขนมที่วางขายในร้านขนมหวานกลางป่าแห่งนี้แล้วเราว่าไม่ธรรมดา อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นฝีมือของผู้วาดมากกว่าที่ทำให้ภาพขนมออกมาสวยมาก ตามสไตล์นิทานญี่ปุ่นที่ทุกอย่างเอามาเขียนมาวาดเป็นนิทานได้หมด ในเรื่องนี้ตัวหมีจะชอบอะไรเล็กๆ ส่วนตัวหนูจะชอบอะไรที่ใหญ่ๆ อ่านๆ จะเริ่มเอ๊ะว่าทั้งคู่ชอบในสิ่งที่ตรงข้ามกับรูปร่างของตัวเอง ตอนที่เลือกซื้อขนมมากินนั้นเจ้าหมีเลือกขนมมงบล็องชิ้นเล็ก ส่วนเจ้าหนูเลือกเค้กผลไม้ก้อนโต ต่างคนต่างกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ดูภาพไปลูกๆ ก็บอกอย่างกินบ้าง แม่ทำขนมแบบนี้ๆ ให้หน่อย

จากนั้นเชฟหมาบูลด็อกก็นำต้นกล้ามาให้เจ้าหมีและเจ้าหนูเลือกเอากลับไปปลูก ซึ่งต่างก็เลือกต้นกล้าที่ไม่เหมือนกัน ถึงจุดนี้ก็ลองหยุดอ่านแล้วชวนลูกๆ ลองทายดูก่อนก็ได้ว่าใครจะเลือกต้นไหน แน่นอนว่าเจ้าหมีเลือกต้นเล็กส่วนเจ้าหนูเลือกต้นใหญ่ แล้วก็พากันปลูกต้นกล้านั้นในบริเวณบ้านของตนเอง เราก็ได้เห็นความพยายามของหมีและหนูในการดูแลรดน้ำและอดทนเฝ้าคอยการเจริญเติบโตของต้นไม้

เวลาผ่านไปเมื่อต้นไม้เริ่มแตกก้านใบและออกดอก ทั้งสองกลับพบว่าสิ่งที่ตนเลือกไว้อย่างที่ใจชอบกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกใจ เพราะต้นกล้าต้นเล็กที่เจ้าหมีเลือกกลับกลายเป็นเครือไม้เลื้อยแตกกิ่งก้านใบเครือเถาใหญ่ไปทั่วบริเวณ ขณะที่ต้นกล้าต้นใหญ่ที่เจ้าหนูเลือกกลับกลายเป็นแค่เครือเถามีก้านมีใบขนาดย่อมพร้อมดอกเล็กจิ๋วแค่นั้นเอง เปิดอ่านกันต่อมาเราก็พบว่าต้นของเจ้าหมีออกผลเป็นฟักทอง แต่ต้นของเจ้าหนูกลับแห้งเหี่ยว ทำไมเป็นอย่างนี้ได้! แววตาของลูกๆ ที่ตั้งใจอ่านด้วยเต็มไปด้วยความสงสัย

พอเปิดหน้าถัดไปลูกชายสังเกตเห็นตัวตุ่นก่อนใครจึงพูดขึ้นมาว่าของหนูมันออกข้างใต้ดินหรือเปล่าแม่ เนี่ยๆ ตุ่นต้องไปเจอที่ใต้ดินแล้วโผล่มาบอกแน่เลย ซึ่งก็ถูกต้อง…ต้นของหนูคือต้นมันหวานที่มีหัวอยู่ใต้ดิน (ลูกชายคงจำได้จากนิทานเรื่องอื่นที่เคยอ่านก่อนหน้าที่มีหนูกับตุ่นไปทัศนศึกษาด้วยกันแล้วขุดหัวมันเทศมากินกัน) หลังจากนั้นทั้งหมีและหนูก็ชวนเพื่อนๆ สัตว์ในป่ามากินฟักทองและหัวมันด้วยกัน

ที่เล่ามาทั้งหมดข้างต้นคือเนื้อเรื่องย่อ แต่เราว่าถ้าอ่านกับลูกแล้วเชื่อว่าเด็กๆ จะได้มุมมองทั้งเรื่องความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี แล้วก็เรื่องของการแบ่งปัน ซึ่งเป็นจุดแข็งของนิทานญี่ปุ่นแบบที่เราชอบคือไม่ต้องสอนตรงๆ ให้เด็กซึมซับเอง สุดท้ายพออ่านจบแล้วเราถามลูกๆ ว่าชอบอะไรในเรื่องนี้ที่สุด คำตอบคือชอบขนมที่เชฟหมาบูลด็อกทำ นี่ก็ย้ำและทวงให้แม่ทำขนมให้ได้แบบในเรื่องอยู่นั่นแหละนะ บอกเลยว่ากินบราวนี่แม่ไปก่อนค่ะลูก จะให้ทำขนมออกมาสวยขนาดนั้นต้องฝีมือระดับเชฟขนมหวานของเลอกอร์ดองเบลอแน่นอน


  • เกี่ยวกับที่รีวิว
    • เพื่อนซี้ในป่าใหญ่
    • สำนักพิมพ์: SandClock Books